Category Archives: Knowledge

Knowledge : DNSSEC เพิ่มความปลอดภัยให้ DNS

DNSSEC (Domain Name System Security Extensions) คือส่วนเสริมด้านความปลอดภัยให้กับระบบ DNS ดั้งเดิมที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตี การโจมตี DNS ทั่วไป เช่น DNS Spoofing หรือ Cache Poisoning ทำให้ผู้โจมตีสามารถปลอมแปลงข้อมูล DNS และหลอกให้ผู้ใช้เข้าเว็บไซต์ปลอมได้ DNSSEC เข้ามาแก้ปัญหานี้โดยใช้ ลายเซ็นดิจิทัล และ โครงสร้าง PKI (Public Key Infrastructure)


DNSSEC ทำงานอย่างไร?

  1. สร้างคู่กุญแจ: แต่ละโซน DNS จะมี กุญแจส่วนตัว (Private Key) สำหรับลงนามข้อมูล และ กุญแจสาธารณะ (Public Key) สำหรับตรวจสอบลายเซ็น
  2. ลงนามดิจิทัล: เมื่อข้อมูล DNS เปลี่ยนแปลง กุญแจส่วนตัวจะถูกใช้สร้าง ลายเซ็นดิจิทัล (RRSIG Record)
  3. ตรวจสอบความถูกต้อง: DNS Resolver จะใช้กุญแจสาธารณะเพื่อตรวจสอบลายเซ็น หากถูกต้องก็มั่นใจว่าข้อมูลนั้นมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้และไม่มีการเปลี่ยนแปลง

กลไกนี้สร้าง “Chain of Trust” (ห่วงโซ่ความน่าเชื่อถือ) ตั้งแต่ Root DNS Server ลงมาจนถึงโดเมนย่อย


ประโยชน์ของ DNSSEC

  • ป้องกันการปลอมแปลง DNS: มั่นใจได้ว่าข้อมูล DNS ที่ได้รับนั้นถูกต้อง
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ: รับรองความสมบูรณ์ของข้อมูล
  • ลดความเสี่ยงจากการโจมตี: ป้องกันการถูกนำไปเว็บไซต์อันตราย

การเปิดใช้งาน DNSSEC บน Windows Server 2022 (สำหรับ Internal DNS)

  • สามารถเปิดใช้งานได้เต็มรูปแบบ ผ่าน DNS Manager หรือ PowerShell
  • ขั้นตอน: ติดตั้งบทบาท DNS Server > เปิด DNS Manager > ลงนาม Zone ผ่าน Zone Signing Wizard (สร้าง KSK, ZSK) > เผยแพร่ DS Record ไปยัง Parent Zone (สำหรับโดเมนสาธารณะ)
  • ควรเปิดใช้สำหรับ Internal DNS Server: เพื่อป้องกันการโจมตีภายใน, เพิ่มความสมบูรณ์ของข้อมูล (โดยเฉพาะ Active Directory), และเป็น Best Practices ด้านความปลอดภัย

Public Key ใน DNSSEC ไม่ต้องออกโดย CA

  • แตกต่างจาก SSL/TLS Certificate: DNSSEC ไม่ได้ใช้ Certificate Authority (CA) มาออก Public Key
  • ใช้ Chain of Trust: ความน่าเชื่อถือของ Public Key ใน DNSSEC มาจากกลไก “Chain of Trust” ที่เริ่มต้นจาก Root DNS Server และมีการลงนามแบบต่อเนื่องเป็นลำดับชั้นลงมา
  • DS Record สำคัญ: DS Record ที่อยู่ใน Parent Zone คือตัวเชื่อมโยงสำคัญที่ทำให้ Chain of Trust สมบูรณ์

ผู้ให้บริการ DNSSEC และค่าใช้จ่าย

การที่คุณจะ “ฝาก DNS” ที่รองรับ DNSSEC หมายถึงการที่คุณต้องการให้ผู้ให้บริการ DNS Hosting ของคุณรองรับการตั้งค่า DNSSEC สำหรับโดเมนของคุณ ซึ่งจะทำให้ข้อมูล DNS ของคุณได้รับการลงนามด้วยลายเซ็นดิจิทัล และ DNS Resolver ที่รองรับ DNSSEC จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้

  1. ผู้จดทะเบียนโดเมน (Domain Registrar):
    • ตัวอย่าง: Namecheap, GoDaddy, Cloudflare Registrar, Gandi, Squarespace (สำหรับ Google Domains เดิม)
    • การรองรับ: ผู้จดทะเบียนโดเมนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะรองรับการตั้งค่า DNSSEC สำหรับโดเมนที่คุณจดทะเบียนกับพวกเขา
    • ค่าใช้จ่าย: โดยทั่วไปแล้ว การเปิดใช้งาน DNSSEC บนผู้จดทะเบียนโดเมนจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากคุณใช้ DNS Server ของผู้จดทะเบียนนั้นๆ (ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้น) แต่ถ้าคุณใช้ DNS Server ภายนอก คุณอาจจะต้องนำค่า DS Record ไปใส่ที่ผู้จดทะเบียนโดเมนของคุณ
  2. ผู้ให้บริการ DNS Hosting โดยเฉพาะ (Dedicated DNS Hosting Providers):
    • ตัวอย่าง: Cloudflare DNS, Amazon Route 53, Google Cloud DNS, NS1, Akamai (Linode DNS)
    • การรองรับ: ผู้ให้บริการเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้บริการ DNS โดยเฉพาะ และมักจะรองรับ DNSSEC อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเครื่องมือที่ช่วยให้การจัดการ DNSSEC ง่ายขึ้น
    • ค่าใช้จ่าย:
      • Cloudflare DNS: มีบริการ DNS ที่ยอดเยี่ยมและ รองรับ DNSSEC ฟรี สำหรับแผน Free Plan ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
      • บริการอื่นๆ (มีค่าใช้จ่าย): ผู้ให้บริการรายอื่น ๆ เช่น Amazon Route 53, Google Cloud DNS จะมีค่าใช้จ่ายตามการใช้งาน (Pay-as-you-go) โดยคิดตามจำนวนโซน DNS, จำนวนคำขอ DNS, และฟีเจอร์เพิ่มเติมอื่น ๆ เหมาะสำหรับธุรกิจหรือผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพและความสามารถขั้นสูง
  3. ผู้ให้บริการ Web Hosting / VPS Hosting:
    • การรองรับ: หากคุณมีเว็บไซต์และใช้บริการ Web Hosting หรือ VPS Hosting บางผู้ให้บริการอาจมีบริการ DNS Hosting รวมอยู่ด้วย และบางรายก็รองรับ DNSSEC
    • ค่าใช้จ่าย: มักจะ รวมอยู่ในแพ็กเกจ Hosting อยู่แล้ว หรืออาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเล็กน้อยสำหรับฟีเจอร์เฉพาะ

การใช้ DNSSEC กับ DNS Resolver สาธารณะ (เช่น 8.8.8.8)

  • ได้รับประโยชน์จากการตรวจสอบ DNSSEC: หากตั้งค่า DNS Resolver ไปที่ 8.8.8.8 (Google Public DNS) คุณจะได้รับประโยชน์จากการ DNSSEC Validation โดยอัตโนมัติ
  • เงื่อนไข: โดเมนที่คุณกำลังเข้าถึง ต้องเปิดใช้งาน DNSSEC ไว้แล้ว ด้วยเช่นกัน
  • หากตรวจสอบไม่ผ่าน: DNS Resolver จะไม่ส่ง IP Address ของโดเมนนั้นกลับมา (เช่น ส่ง SERVFAIL) เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ปลอม

การป้องกันการโดนปลอม IP จาก DNS ใน Wi-Fi สาธารณะ

Wi-Fi สาธารณะมีความเสี่ยงสูงต่อ DNS Spoofing คุณสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีดังนี้:

  1. ใช้ DNSSEC Validation: ตั้งค่าอุปกรณ์ให้ใช้ DNS Resolver ที่รองรับ DNSSEC (เช่น 8.8.8.8, 1.1.1.1)
  2. ใช้ DNS over HTTPS (DoH) หรือ DNS over TLS (DoT): เข้ารหัสการสื่อสาร DNS ทำให้ยากต่อการดักจับและแก้ไข (รองรับในเบราว์เซอร์และ OS สมัยใหม่)
  3. ใช้ Virtual Private Network (VPN): สร้างอุโมงค์เข้ารหัสสำหรับทราฟฟิกทั้งหมด รวมถึงคำขอ DNS ป้องกันการดักฟังและการเปลี่ยนเส้นทาง
  4. ระมัดระวังในการเชื่อมต่อ: ตรวจสอบชื่อ Wi-Fi, หลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมสำคัญ, และใช้ HTTPS เสมอ

การรวมมาตรการเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของคุณอย่างมากเมื่อใช้ Wi-Fi สาธารณะครับ

Knowledge : Privileged Access Management (PAM)

ความสำคัญของ Privileged Access Management (PAM) ในองค์กร

บทนำ

ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง องค์กรทุกขนาดจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ หนึ่งในแนวทางที่สำคัญคือ Privileged Access Management (PAM) ซึ่งเป็นกระบวนการควบคุมและบริหารจัดการการเข้าถึงระบบของผู้ใช้ที่มีสิทธิ์พิเศษ (Privileged Users) บทความนี้จะกล่าวถึงความสำคัญของ PAM ในองค์กรและเหตุผลที่ควรนำมาใช้

1. ป้องกันภัยคุกคามจากภายในและภายนอก

ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์พิเศษ เช่น ผู้ดูแลระบบ (Administrator) หรือผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ มีอำนาจในการควบคุมและจัดการระบบได้อย่างกว้างขวาง หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี อาจเกิดความเสี่ยงจาก บุคคลภายใน (Insider Threats) ที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด หรือ การโจมตีจากภายนอก ที่มุ่งขโมยข้อมูลสำคัญผ่านบัญชีที่มีสิทธิ์สูง PAM ช่วยลดความเสี่ยงโดยการควบคุมและตรวจสอบการเข้าถึงของบัญชีเหล่านี้

2. ลดโอกาสของการโจมตีทางไซเบอร์

แฮกเกอร์มักพยายามเจาะระบบโดยมุ่งเป้าไปที่บัญชีที่มีสิทธิ์พิเศษเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ การใช้ PAM สามารถช่วยลดโอกาสที่บัญชีเหล่านี้จะถูกโจมตี โดยการบังคับใช้นโยบาย Least Privilege Access ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้เข้าถึงเฉพาะข้อมูลและระบบที่จำเป็นเท่านั้น รวมถึงมีการยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (Multi-Factor Authentication – MFA) เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัย

3. เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

หลายองค์กรต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เช่น ISO 27001, GDPR, HIPAA ซึ่งกำหนดให้องค์กรต้องมีการควบคุมและตรวจสอบการเข้าถึงระบบอย่างเข้มงวด PAM ช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบและบันทึกกิจกรรมของผู้ใช้ที่มีสิทธิ์พิเศษได้อย่างละเอียด ทำให้สามารถติดตามและวิเคราะห์เหตุการณ์ที่อาจเป็นภัยคุกคามได้ง่ายขึ้น

4. ลดผลกระทบจากเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย

หากเกิดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย เช่น บัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์พิเศษถูกละเมิด PAM สามารถช่วยลดความเสียหายโดยการ จำกัดการเข้าถึงแบบชั่วคราว (Session Management) หรือล็อคบัญชีที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยได้ทันที ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

5. ปรับปรุงการบริหารจัดการบัญชีและสิทธิ์การเข้าถึง

PAM ช่วยให้การบริหารจัดการบัญชีที่มีสิทธิ์พิเศษเป็นไปอย่างมีระเบียบ โดยสามารถ กำหนดและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง ได้อย่างเหมาะสม ลดความซับซ้อนในการจัดการบัญชี และลดความเสี่ยงจากการใช้บัญชีร่วมกัน (Shared Account) ซึ่งอาจก่อให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

6. องค์ประกอบหลักของ PAM

PAM ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้:

  • Privileged Account Discovery – ค้นหาและระบุบัญชีที่มีสิทธิ์พิเศษภายในองค์กร
  • Credential Vaulting & Management – จัดเก็บและบริหารรหัสผ่านของบัญชีที่มีสิทธิ์พิเศษอย่างปลอดภัย
  • Session Monitoring & Recording – ตรวจสอบและบันทึกกิจกรรมของบัญชีที่มีสิทธิ์พิเศษ
  • Just-In-Time (JIT) Access – มอบสิทธิ์การเข้าถึงชั่วคราวเฉพาะเมื่อจำเป็น
  • Least Privilege Enforcement – จำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะที่จำเป็น
  • Multi-Factor Authentication (MFA) – ยืนยันตัวตนหลายขั้นตอนเพื่อเพิ่มความปลอดภัย

7. PrivX: โซลูชัน PAM แบบไร้รหัสผ่าน

PrivX เป็นโซลูชัน PAM ที่พัฒนาโดย SSH Communications Security ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่านหลัก (Passwordless Access). PrivX มีคุณสมบัติเด่นดังนี้:

  • การเข้าถึงแบบไร้รหัสผ่าน – ลดความเสี่ยงจากการขโมยรหัสผ่านและลดภาระในการจัดการรหัสผ่าน
  • การควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท (Role-Based Access Control – RBAC) – กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงตามหน้าที่ของผู้ใช้
  • การอนุญาตแบบ Just-In-Time (JIT) – ให้สิทธิ์การเข้าถึงแบบชั่วคราวเมื่อจำเป็นเท่านั้น
  • รองรับระบบคลาวด์และไฮบริด – สามารถใช้งานกับโครงสร้างพื้นฐานทั้งแบบ On-Premises และ Cloud
  • บันทึกและตรวจสอบกิจกรรม – ช่วยให้สามารถติดตามและวิเคราะห์การเข้าถึงระบบได้อย่างละเอียด

สรุป

Privileged Access Management (PAM) เป็นแนวทางสำคัญในการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กร ด้วยการควบคุมและบริหารจัดการการเข้าถึงของบัญชีที่มีสิทธิ์พิเศษ องค์กรสามารถลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัย และเพิ่มความสามารถในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำ PAM มาใช้ไม่เพียงช่วยปกป้องข้อมูลและระบบ แต่ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กรในระยะยาว